15 December 2025

NTF เคาะราคา IPO หุ้นละ 6 บาท จ่อเทรดใน mai 16 ธ.ค.นี้

บมจ.เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (NTF) เดินหน้าระดมทุนเข้าตลาด mai เสนอขาย IPO 60 ล้านหุ้น ราคา 6.00 บาท เปิดจองซื้อ 4 ธ.ค., 8-9 ธ.ค. พร้อมเทรดในตลาด mai 16 ธ.ค. ชูศักยภาพธุรกิจส่งออกผลไม้สดโตแรง รายได้ 9 เดือนพุ่ง 2,107 ล้านบาท ตั้งเป้าทั้งปี 2,900 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NTF เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมหมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) ในวันที่ 16 ธันวาคม 2568 หลังแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (ลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์) สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO)

บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น เปิดให้จองซื้อวันที่ 4 ธันวาคม และ 8-9 ธันวาคม 2568 โดย NTF คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาด mai ในวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งหุ้น IPO ที่เข้าตลาดช่วงโค้งสุดท้ายของปี

นายวิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (NTF) กล่าวว่า NTF มุ่งเน้นการส่งออกผลไม้คุณภาพ โดยมีรายได้หลักมาจากการจำหน่ายสินค้าในตลาดเกรดพรีเมียมเป็นหลัก ได้แก่ ทุเรียน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 97% ของยอดส่งออกของบริษัท มะพร้าว ลำไย และผลไม้อื่นๆ รวมถึงทุเรียนแกะเนื้อและแช่แข็ง ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและมีความเสถียรในทุกสภาพเศรษฐกิจ ส่งผลให้มาร์จิ้นดี

โดยทุกกระบวนการผลิตดำเนินภายใต้มาตรฐาน NTF Standard หรือ 2Q2T (Quality–Quantity–Time–Temperature) ควบคุมร่วมกับพันธมิตรโรงคัดบรรจุกว่า 10 แห่ง พร้อมระบบ QC เข้มงวด เพื่อรักษาคุณภาพระดับพรีเมียมอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งบริษัทบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนด้วย FX Forward ครอบคลุม 100% และไม่มีสินค้าคงคลัง ช่วยลดความผันผวนราคาผลไม้

ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 NTF ส่งออกทุเรียนสดไปจีนประมาณ 11,320 ตัน คิดเป็นราว 1.3% ของปริมาณนำเข้าทุเรียนจากไทยที่จีนมากกว่า 900,000 ตัน สะท้อนโอกาสขยายตลาดอีกมาก

ที่ผ่านมา NTF มีข้อจำกัดด้านเงินทุนทำให้ขยายกำลังผลิตได้ไม่เต็มที่ แม้จะมีวงเงินจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังไม่พอต่อความต้องการตลาด โดยบริษัทมี Cash Cycle ราว 41 วัน ทำให้ต้องพึ่งพาเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมาก การเข้าตลาด mai จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุน และเปิดโอกาสลงทุนในเทคโนโลยีการผลิต เช่น เครื่องคัดแยกเกรด เครื่องเป่าแห้ง และระบบอัตโนมัติในขั้นตอนคัดและบรรจุ

“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพด้านเงินทุน รวมถึงเปิดทางให้ NTF สามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ยกระดับการผลิต และวางรากฐานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดย NTF วางแผนนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับระบบการผลิต ตั้งแต่ขั้นตอนคัดเกรดไปจนถึงการบรรจุผลไม้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาในการผลิตลงมากกว่า 50% และยกระดับความแม่นยำในการตรวจสอบคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยให้ NTF สามารถเพิ่มปริมาณการผลิต รองรับความต้องการส่งออกที่เพิ่มขึ้น และสร้างความสามารถในการเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่องในอนาคต” นายวิชัยกล่าว

นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายของ NTF เปิดเผยว่า NTF แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (ลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์) ในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น

พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 2 แห่ง โดยกำหนดราคาเสนอขายที่ 6.00 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 4 ธันวาคม และ 8-9 ธันวาคม 2568 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือนธันวาคมนี้

โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของ NTF อยู่ที่ 5.7 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 12 เดือน (1 ต.ค. 2567-30 ก.ย. 2568) จำนวน 209.4 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นหลัง IPO รวม 200 ล้านหุ้น ได้กำไรต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 1.05 บาท ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม AGRO ใน mai สะท้อนความน่าสนใจด้านมูลค่า โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2568 NTF ทำรายได้จากการขาย 2,107 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.6% เติบโตโดดเด่นจากรายได้รวมปี 2565-2567 ที่อยู่ที่ 347 ล้านบาท 563 ล้านบาท และ 1,115 ล้านบาท ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 8 ล้านบาท 23 ล้านบาท และ 64 ล้านบาท ขณะที่ทั้งปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมราว 2,900 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อผลไม้ไทยล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีน

ที่มา : https://www.prachachat.net/finance/news-1930599